ITO Thailand Hygiene Blog
แหล่งอาหารใหม่ใต้ท้องทะเล
แหล่งอาหารใหม่ที่มีความยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์การขาดแคลนทรัพยากรกำลังฮิตอินเทรนด์! มาทำความรู้จักกับแหล่งอาหารใหม่จากใต้ท้องทะเล อย่างสาหร่ายทะเลและแมงกะพรุนกันเถอะ
ในปัจจุบัน ภาวะปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ภาวะโลกร้อนปรากฏการณ์เรือนกระจก การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากร รวมไปถึงภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ ส่งผลให้เกิดการขาดแคลนทรัพยากร และ เกิดเทรนด์ในการหาแหล่งอาหารใหม่ ๆ ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น เกิดคาร์บอนฟุตปริ้น อันเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อนน้อยลงในการผลิตอาหาร เพื่อชะลอการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อม หรือใช้ทรัพยากรน้อยลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงแหล่งของโปรตีนจากการปศุสัตว์ ที่ต้องใช้ทรัพยากรอาหารสัตว์ พื้นที่ทำฟาร์ม รวมไปถึงการจัดการของเสียจากสัตว์ มาเป็นแหล่งโปรตีนทางเลือก ที่มีความยั่งยืนมากขึ้น ใช้ทรัพยากรน้อยลง เช่น โปรตีนจากแมลง โปรตีนจากพืช และการเพาะเลี้ยงเซลล์โปรตีน เป็นต้น ซึ่งสามารถติดตามเพิ่มเติมได้จาก Hygiene blog ของอิโตะ(ไทยแลนด์)
สำหรับในวันนี้ เราขอแนะนำให้รู้จักแหล่งอาหารแหล่งใหม่จากท้องทะเล ที่กำลังมาแรงและเป็นความหวังใหม่ในการผลิตโปรตีนให้หล่อเลี้ยงประชากรโลกให้เพียงพอ โดยจุดแข็งของโปรตีนจากท้องทะเลคือ สามารถแก้ปัญหาเรื่องการขาดแคลนทรัพยากรน้ำจืดในการผลิตอาหาร เนื่องจากสามารถผลิตโปรตีนได้ในน้ำทะเล รวมไปถึงการใช้พื้นที่ในทะเลและมหาสมุทรให้เกิดประโยชน์ในการสร้างแหล่งอาหารให้มนุษย์อีกด้วย
แมงกะพรุน Jellyfish
อาหารจากท้องทะเลแหล่งหนึ่ง ที่เรารู้จักกันดี แต่อาจจะมองข้ามไป คือ แมงกะพรุน โดยปกติ เรามักมองแมงกะพรุนในฐานะสัตว์มีพิษ หรือกับแกล้ม อาหารจานเคียงเล็ก ๆ แต่ในความจริงแล้วนั้น ปัจจุบันอาหารจากแมงกะพรุนได้รับความสนใจมากขึ้น สาเหตุหนึ่งเกิดจากในปัจจุบัน แมงกะพรุนมีปริมาณมากขึ้นเนื่องจากภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ[1] รวมถึงมีรายงาน[2]ว่า แมงกะพรุนเป็นแหล่งอาหารที่ดี โดยมีน้ำและโปรตีนเป็นองค์ประกอบหลัก แคลอรี่ต่ำเนื่องจากมีน้ำในโครงสร้างมาก โปรตีนที่พบมากที่สุดคือคอลลาเจน มีไขมันและน้ำตาลต่ำมาก และเป็นแหล่งของแร่ธาตุหลายชนิด
ในปี 2011-2015 ผลิตภัณฑ์อาหารจากแมงกะพรุนทั่วโลก มีปริมาณถึง 10,000-17,000 ตัน/ปี [3] แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของความต้องการในตลาด อย่างไรก็ตาม แมงกะพรุนบางชนิดเท่านั้นที่สามารถรับประทานได้ (มีประมาณ 35 สายพันธุ์) ในขณะที่บางชนิดมีพิษ รวมไปถึงข้อจำกัดด้านเนื้อสัมผัสที่ค่อนข้างมีความเฉพาะตัว นอกจากการใช้แมงกะพรุนเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์แล้วโดยตรงแล้ว แมงกะพรุนยังถูกใช้เป็นอาหารสัตว์เช่น อาหารไก่ สุกร รวมถึงในการเลี้ยงปลาด้วย
สาหร่ายทะเล Seaweed & Algae
ในปัจจุบันสาหร่าย ทั้งสาหร่ายขนาดใหญ่ (Macroalgae) และสาหร่ายขนาดจิ๋ว (Microalgae) ได้ถูกผูกโยงเข้ากับความยั่งยืนในหลาย ๆ ด้าน ทั้งเป็นแหล่งของการสร้างออกซิเจน กำจัดคาร์บอนไดออกไซด์ การบำบัดน้ำเสีย เป็นแหล่งของพลังงานสะอาด (bio-ethanol)[4] เช่นเดียวกับเป็นแหล่งอาหารของมนุษย์ โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำจืด และมีปริมาณสารอาหารที่ผลิตได้ต่อพื้นที่ สูงกว่าการปลูกพืชหรือทำปศุสัตว์
สาหร่ายมีคุณค่าทางโภชนาการสูงดังนี้ [1]
•แร่ธาตุ: ธาตุเหล็ก แคลเซียม ไอโอดีน เซเลเนียม และโพแทสเซียม
•วิตามิน: วิตามินเอ บี12 และวิตามินซี
•กรดไขมันโอเมก้า3 (ไขมันดี)
•ใยอาหาร
•โปรตีน
•สารฟังก์ชัน ด้านการลดการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ
นอกจากนี้ การใช้สาหร่ายประกอบอาหาร ยังสามารถทำได้ ทั้งการรับประทานสาหร่ายโดยตรงเป็นอาหาร ในรูปอาหารเสริม/สารสกัด เช่น สารสกัดโปรตีน หรือใช้สาหร่ายบางชนิดเป็นตัวช่วยในการปรับสมบัติของอาหาร (additive) เช่น ทำฟิล์ม เปลี่ยนเนื้อสัมผัส ทำให้เกิดเจล เพิ่มความข้นหนืด ช่วยอุ้มน้ำ [5] สารให้สี สารต้านอนุมูลอิสระ สารแต่งกลิ่นรส [6] รวมถึงใช้เป็นบรรจุภัณฑ์แบบย่อยสลายได้ [1] ได้อีกด้วย
เช่นเดียวกับแมงกะพรุน สาหร่ายก็ถูกใช้เป็นอาหารสัตว์ด้วยเช่นกัน โดยมีการใช้สาหร่ายเป็นแหล่งของโปรตีนในอาหารปลา มีรายงาน[6] ว่า ช่วยให้ปลาสามารถโตได้ดีขึ้นและลดการเกิดโรคในปลาได้อีกด้วย เนื่องจากไขมันดีที่พบในสาหร่ายช่วยในการปกป้องโรคในปลาได้
โดยสรุปแล้ว แหล่งอาหารจากท้องทะเลนับว่ามีความน่าสนใจและสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ต่อยอดเพื่อความยั่งยืนด้านอาหารในอนาคตได้ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ยังต้องมีความใส่ใจด้านความปลอดภัยของอาหารชนิดใหม่ ๆ ในอนาคตด้วย หากมีโอกาส คราวหน้าจะมาเล่าถึงมุมมองของ FAO จาก UN ว่าได้ให้ความคิดเห็นด้านความปลอดภัยของแหล่งอาหารใหม่ ๆ เหล่านี้ไว้ประเด็นใดบ้าง และควรคำนึงถึงจุดใดบ้างในการนำวัตถุดิบเหล่านี้มาใช้ผลิตอาหาร รอติดตามชมกันนะคะ
เอกสารอ้างอิง
1.2022. Thinking about the future of food safety – A foresight report.Rome. https://doi.org/10.4060/cb8667en.
2.Hsieh, Y. P., Leong, F. M., & Rudloe, J. (2001). Jellyfish as food. In Jellyfish Blooms: Ecological and Societal Importance: Proceedings of the International Conference on Jellyfish Blooms, held in Gulf Shores, Alabama, 12–14 January 2000(pp. 11-17). Springer Netherlands.
3.Duarte, I. M., Marques, S. C., Leandro, S. M., & Calado, R. (2022). An overview of jellyfish aquaculture: for food, feed, pharma and fun. Reviews in Aquaculture, 14(1), 265-287.
4.https://www.bio100com/wwt/algae-farming/
5.Afonso, N. C., Catarino, M. D., Silva, A. M., & Cardoso, S. M. (2019). Brown macroalgae as valuable food ingredients. Antioxidants, 8(9), 365.
6.Brien, R. O., Hayes, M., Sheldrake, G., Tiwari, B., & Walsh, P. (2022). Macroalgal Proteins: A Review. Foods, 11(4), 571.
Related Post
-
แหล่งที่มาของสารพิษในอาหาร Food Toxin source
อาหารไม่ปลอดภัย อาจอันตรายถึงชีวิต! ทราบหรือไม่ว่าสารพิษในอาหาร มาจากที่ใดได้บ้าง?
-
Mythbusters: ความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร จริงหรือมั่ว!? (ตอนที่ 2)
เช็คความรู้ความปลอดภัยอาหารกันหน่อย! ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยในอาหารอีกหลายข้อที่น่าสนใจมานำเสนอ ข้อไหนใช่ ข้อไหนมั่ว!?
-
Mythbusters: ความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร จริงหรือมั่ว!? (ตอนที่ 1)
ความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร เป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหกกันนะ? คุณเคยได้ยินความเชื่อแบบนี้หรือไม่? แล้วความจริงเป็นอย่างไรกันแน่
-
การปนเปื้อนของน้ำมันแร่ในอาหาร (Mineral Oil Contamination in Food)
น้ำมันแร่พบได้อย่างกว้างขวางในสภาพแวดล้อมของเรา และส่วนประกอบของน้ำมันแร่สามารถนำไปใช้เป็นอาหารจากพืชและสัตว์ได้ผ่านช่องทางต่างๆ สารประกอบหลักที่น่าเป็นกังวลในแง่ขององค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวของน้ำมันแร่ (Mineral oil-saturated hydrocarbon - MOSH) และไฮโดรคาร์บอนอะโรมาติกของน้ำมันแร่ (Mineral oil aromatic hydrocarbons - MOAH) ในระดับที่น้อยกว่า สารเหล่านี้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายเมื่อบริโภคผ่านอาหาร และมีศักยภาพที่จะสะสมในไขมันในร่างกายและอวัยวะเฉพาะต่างๆ โดยปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาใดที่ตรวจสอบผลกระทบของสารเหล่านี้ต่อมนุษย์ ดังนั้นการประเมินทางพิษวิทยาจึงอาศัยการทดลองในสัตว์ สถาบันกลางเพื่อการประเมินความเสี่ยง (Bundesinstitut für Risikobewertung, BfR) แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภค MOAH เนื่องจากความเป็นไปได้ของสารประกอบก่อมะเร็ง
-
ยาปฏิชีวนะในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (Antibiotics in Animal Products)
ยาปฏิชีวนะมีความจำเป็นในการปกป้องสัตว์จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากสัตว์มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคปอดบวม เช่นเดียวกับมนุษย์ และยาปฏิชีวนะเป็นวิธีที่มีมนุษยธรรมและคุ้มค่าในการป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อเหล่านี้ ผู้ผลิตปศุสัตว์ต่างมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสวัสดิภาพของสัตว์ที่อยู่ในความดูแล และการปล่อยให้สัตว์เหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อทั้งที่รักษาได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะนั้นถือว่าไร้มนุษยธรรม
-
รวมเรื่องราวเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร ในปี 2023 part 2
รู้ไหมว่ามีเรื่องราวอะไรบ้างในโลกของความปลอดภัยของอาหารในรอบครึ่งหลังที่ผ่านมาของปี 2023?