ITO Thailand Hygiene Blog
Mythbusters: ความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร จริงหรือมั่ว!? (ตอนที่ 1)
ความเชื่อที่ 1: กฏ 5 วินาที
มักได้ยินคนพูดกันว่า “อาหารหล่นไม่ถึง 5 วินาที ยังกินได้” หรือว่าตกพื้นแป๊บเดียว เชื้อโรคไม่ทันเกาะ แต่ในความจริงแล้วนั้น ความเชื่อนี้ผิด เพราะ ในความเป็นจริงแล้ว เชื้อจุลินทรีย์สามารถเกาะติดพื้นผิวอาหารที่ได้ทันทีที่เกิดการสัมผัสขึ้น ยิ่งถ้าพื้นผิวที่สัมผัส มีความขรุขระ มีซอกมุมมาก ยิ่งมีโอกาสที่เชื้อจุลินทรีย์จะเกิดการสะสม ถึงแม้จะเป็นภายในห้องที่มีการทำความสะอาดเสมอ หรือแม้แต่บริเวณผลิตอาหาร เพียงการเดินเข้าออก ก็อาจนำเชื้อจุลินทรีย์เข้ามาภายในได้ โดยมีรองเท้าเป็นพาหะนำเชื้อ (อ่านเพิ่มเติม)
นอกจากเชื้อจุลินทรีย์แล้ว บนพื้นยังมีสิ่งสกปรกอื่น ๆ ฝุ่นผง ซากแมลงเล็ก ๆ หรือแม้แต่สารเคมี (เช่น น้ำยาทำความสะอาดโต๊ะ/น้ำยาถูพื้น) ที่สามารถปนเปื้อนไปกับอาหารชิ้นนั้นได้ ดังนั้น อาหารหล่นแล้วไม่ควรรับประทานต่อเพื่อความปลอดภัย ไม่ว่าจะเก็บขึ้นมาได้เร็วแค่ไหนก็ตาม
ความเชื่อที่ 2: จำเป็นต้องล้างเนื้อสัตว์ดิบ
โดยทั่วไปคุณพ่อบ้านแม่บ้าน เมื่อซื้อเนื้อสัตว์สดมา มักนิยมล้างผ่านน้ำ น้ำส้มสายชู น้ำเกลือ ฯลฯ เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรก เมือก คราบไขมันและคราบเลือดออกจากเนื้อสด แต่ในความเป็นจริงแล้ว การล้างเนื้อสัตว์สดในครัว อาจเป็นการกระจายเชื้อจุลินทรีย์ไปทั่วทั้งครัวได้ โดยข้อมูลนี้ มาจาก USFDA [1] ที่บ่งชี้ว่าการล้างเนื้อสัตว์สด เพิ่มความเสี่ยงต่อการปนเปื้อนไปยังพื้นผิวอื่น ๆ เป็นอย่างมาก ประกอบกับในปัจจุบัน เนื้อสัตว์สดที่ผ่านกระบวนการเชือดและกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน มีขั้นตอนการทำความสะอาดตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้ว จึงแนะนำให้ฆ่าเชื้อโรคด้วยการให้ความร้อนจนอุณหภูมิภายในสูงเพียงพอ
ดังนั้น จึงควรเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน แต่ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องล้างจริง ๆ (เช่น เป็นเนื้อสัตว์จากตลาดหรือชาวบ้านเอง ที่ไม่ได้ทำความสะอาดมาก่อน) ข้อแนะนำคือ จัดการเตรียมและล้างเนื้อสัตว์สดหลังสุดจากการประกอบอาหารอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาหารที่จะไม่ผ่านความร้อนอีก เช่น ผักสลัดหรือเครื่องจิ้มน้ำพริก ไม่ควรล้างหลังเนื้อสัตว์สด เนื่องจากอาหารอื่น ๆ ที่พร้อมรับประทาน อาจมีความเสี่ยงในการปนเปื้อนเชื้อโรคจากเนื้อดิบ ต้องมีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อบริเวณที่ล้างให้เป็นอย่างดี รวมไปถึงห้ามนำน้ำที่ใช้แช่ เนื้อสัตว์ดิบมาใช้ซ้ำ และต้องล้างมืออย่างละเอียดหลังจากการสัมผัสเนื้อสัตว์ดิบด้วย เนื่องจากพบในการทดลองว่า ถึงแม้จะไม่ล้างเนื้อสัตว์ดิบ แต่ถ้าจับเนื้อดิบแล้วล้างมือไม่ดี ก่อนไปเตรียมผัก ก็มีความเสี่ยงในการปนเปื้อนข้ามของเชื้อจุลินทรีย์เช่นเดียวกัน
นอกจากการล้างแล้ว การทำละลายเนื้อสัตว์แช่แข็ง หรือการหมักเนื้อสัตว์ ไม่ควรทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง เนื่องจากในช่วงอุณหภูมิ 4-60 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่จุลินทรีย์จะเติบโตได้ดี จึงมีความเสี่ยงต่อการเพิ่มปริมาณเชื้อในอาหารได้ จึงแนะนำให้เก็บเนื้อสัตว์ไว้ในภาชนะปิดสนิทในตู้เย็น (ไม่ว่าจะเป็นการทำละลายล่วงหน้าข้ามคืน หรือการหมักเนื้อสัตว์) หรือเร่งการทำละลายด้วยวิธีต่าง ๆ เช่น ใช้ไมโครเวฟ การแช่ถุงปิดสนิทในน้ำไหลผ่าน เป็นต้น [2]
ความเชื่อที่ 3: ช่องแช่แข็ง ฆ่าเชื้อโรคได้
ในเรื่องของช่องฟรีสหรือช่องแช่แข็ง หรือตู้แช่แข็ง มีความเชื่อที่ว่า หากแช่แข็งอาหาร เชื้อโรคในอาหารจะถูกทำลายลงทั้งหมด ทำให้สามารถรับประทานดิบได้
สำหรับในข้อนี้ เราอาจจะเข้าใจผิดมาจากกระบวนการในการทำปลาดิบ ที่ผ่านการแช่แข็งเพื่อทำการฆ่าพยาธิ/ปรสิต (parasite destruction process) โดยต้องแช่แข็งในตู้ที่มีประสิทธิภาพ ในการทำให้อุณหภูมิต่ำและเวลาตามที่กำหนด เช่น -35 องศาเซลเซียส 15 ชั่วโมง เป็นต้น ซึ่งเพียงพอในการฆ่าปรสิต แต่อาจไม่สามารถฆ่าจุลินทรีย์ได้ หากอาหารมีการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ก่อนการแช่แข็ง อุณหภูมิที่ต่ำลงจะช่วยในการยับยั้งการเจริญของเชื้อจุลินทรีย์เท่านั้น เมื่อทำละลาย เชื้อจุลินทรีย์จะยังคงสามารถเติบโตต่อไป [3]
จากความเข้าใจผิดนี้ ทำให้มีคนนำผักผลไม้แช่แข็ง ที่ระบุว่าต้องทำไปประกอบอาหารด้วยความร้อนก่อนรับประทาน มารับประทานแบบดิบ (เช่นการนำมาปั่นเป็นสมูตตี้ผัก หรือ สลัด หรือนำข้าวโพดแช่แข็งมาทิ้งให้ละลายแล้วรับประทานเลยเป็นต้น) ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอาหารเป็นพิษ เนื่องจากจุลินทรีย์ที่ถูกแช่แข็งกลับมาเติบโตในช่วงที่ทำละลายและทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้อง [4] จึงควรอ่านฉลากให้ดี ว่าผลิตภัณฑ์แช่แข็งนั้น สำหรับประกอบอาหาร (Ready to cook) หรือพร้อมสำหรับรับประทาน (Ready to eat) กันแน่ รวมถึงปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากให้ถูกต้องด้วย
เอกสารอ้างอิง
Related Post
-
แหล่งที่มาของสารพิษในอาหาร Food Toxin source
อาหารไม่ปลอดภัย อาจอันตรายถึงชีวิต! ทราบหรือไม่ว่าสารพิษในอาหาร มาจากที่ใดได้บ้าง?
-
Mythbusters: ความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร จริงหรือมั่ว!? (ตอนที่ 2)
เช็คความรู้ความปลอดภัยอาหารกันหน่อย! ยังมีความเชื่อเกี่ยวกับความปลอดภัยในอาหารอีกหลายข้อที่น่าสนใจมานำเสนอ ข้อไหนใช่ ข้อไหนมั่ว!?
-
การปนเปื้อนของน้ำมันแร่ในอาหาร (Mineral Oil Contamination in Food)
น้ำมันแร่พบได้อย่างกว้างขวางในสภาพแวดล้อมของเรา และส่วนประกอบของน้ำมันแร่สามารถนำไปใช้เป็นอาหารจากพืชและสัตว์ได้ผ่านช่องทางต่างๆ สารประกอบหลักที่น่าเป็นกังวลในแง่ขององค์ประกอบทางเคมี ได้แก่ ไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวของน้ำมันแร่ (Mineral oil-saturated hydrocarbon - MOSH) และไฮโดรคาร์บอนอะโรมาติกของน้ำมันแร่ (Mineral oil aromatic hydrocarbons - MOAH) ในระดับที่น้อยกว่า สารเหล่านี้ร่างกายดูดซึมได้ง่ายเมื่อบริโภคผ่านอาหาร และมีศักยภาพที่จะสะสมในไขมันในร่างกายและอวัยวะเฉพาะต่างๆ โดยปัจจุบันยังไม่มีการศึกษาใดที่ตรวจสอบผลกระทบของสารเหล่านี้ต่อมนุษย์ ดังนั้นการประเมินทางพิษวิทยาจึงอาศัยการทดลองในสัตว์ สถาบันกลางเพื่อการประเมินความเสี่ยง (Bundesinstitut für Risikobewertung, BfR) แนะนำให้หลีกเลี่ยงการบริโภค MOAH เนื่องจากความเป็นไปได้ของสารประกอบก่อมะเร็ง
-
ยาปฏิชีวนะในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ (Antibiotics in Animal Products)
ยาปฏิชีวนะมีความจำเป็นในการปกป้องสัตว์จากการติดเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากสัตว์มีแนวโน้มที่จะเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคปอดบวม เช่นเดียวกับมนุษย์ และยาปฏิชีวนะเป็นวิธีที่มีมนุษยธรรมและคุ้มค่าในการป้องกันและรักษาโรคติดเชื้อเหล่านี้ ผู้ผลิตปศุสัตว์ต่างมีความกังวลอย่างมากเกี่ยวกับสวัสดิภาพของสัตว์ที่อยู่ในความดูแล และการปล่อยให้สัตว์เหล่านี้ต้องทนทุกข์ทรมานจากการติดเชื้อทั้งที่รักษาได้ง่ายด้วยยาปฏิชีวนะนั้นถือว่าไร้มนุษยธรรม
-
รวมเรื่องราวเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร ในปี 2023 part 2
รู้ไหมว่ามีเรื่องราวอะไรบ้างในโลกของความปลอดภัยของอาหารในรอบครึ่งหลังที่ผ่านมาของปี 2023?
-
รวมเรื่องราวเกี่ยวกับความปลอดภัยอาหาร ในปี 2023 part 1
มาเรียนรู้ด้วยกันค่ะ ว่าในปี 2023 ที่ผ่านมา มีข่าวอะไรในวงการความปลอดภัยของอาหารกันบ้าง ตั้งแต่การสืบสวนการระบาดของโรคทางอาหารจนถึงมาตรฐานและกฎระเบียบที่กำลังเปลี่ยนแปลง