ITO Thailand Hygiene Blog

Oct 15 2025

9 ข้อมูลที่ควรถามก่อนติดตั้งแอร์ชาวเวอร์ในโรงงานของคุณ

วางแผนติดตั้งแอร์ชาวเวอร์ในโรงงานของคุณอยู่หรือไม่?
            ก่อนตัดสินใจเลือกอุปกรณ์ ควรตรวจสอบข้อมูลสำคัญให้ครบถ้วน
เราได้รวบรวม เช็กลิสต์ 9 ข้อ ที่ควรถามก่อนติดตั้งแอร์ชาวเวอร์ เพื่อช่วยให้คุณเลือกได้ตรงกับมาตรฐานและการใช้งานจริงของหน้างาน

            หากคุณกำลังวางแผนติดตั้งแอร์ชาวเวอร์ (Air Shower) ในพื้นที่ควบคุมความสะอาดของโรงงาน เช่น โซนผลิตอาหาร เครื่องดื่ม ยา เวชภัณฑ์ อาหารเสริม เครื่องสำอาง อิเล็กทรอนิกส์ หรือบรรจุภัณฑ์พลาสติก เช็กลิสต์นี้คือจุดเริ่มต้นที่ดี เพื่อช่วยคุณเลือกแอร์ชาวเวอร์ที่ตอบโจทย์พื้นที่ การใช้งาน และมาตรฐานของโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            แอร์ชาวเวอร์ทำหน้าที่เป่าฝุ่นละอองหรือสิ่งปนเปื้อนออกจากร่างกายพนักงานก่อนเข้าสู่ห้องสะอาด (Cleanroom) หรือ Hygiene Zone และมักติดตั้งอยู่บริเวณทางเข้า-ออกหลักของพื้นที่ผลิต การเลือกให้เหมาะกับหน้างานจึงมีผลต่อทั้งความสะดวก ความทนทาน และความต่อเนื่องของการทำงานในระยะยาว

เช็กลิสต์ก่อนติดตั้งแอร์ชาวเวอร์

            1.พื้นที่หน้างานที่ต้องการติดตั้ง

            เริ่มจากการวัดพื้นที่ติดตั้งจริง ขนาดมาตรฐานของแอร์ชาวเวอร์สำหรับ 1–2 คนต่อรอบ อยู่ที่ประมาณ 1.0 x 1.1 เมตร หากมีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ อาจต้องออกแบบพิเศษเพื่อให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

            เรามีบริการสำรวจหน้างานฟรี พร้อมแนะนำขนาดที่เหมาะสม

            2.ปริมาณการสัญจรของพนักงาน

            ควรทราบว่ามีพนักงานผ่านเข้า-ออกกี่คนต่อชั่วโมง เพื่อเลือกขนาดหรือจำนวนแอร์ชาวเวอร์ให้เพียงพอ ลดปัญหาคอขวดหน้าไลน์ผลิต ในกรณีที่มีพนักงานผ่านจำนวนมาก อาจเลือกให้แอร์ชาวเวอร์สามารถจุคนได้หลายคนในการทำงานหนึ่งครั้ง หรือการเลือกออกแบบเป็นอุโมงค์พร้อมทางเดินซิกแซกเพื่อเพิ่มเวลาที่พนักงานใช้ในแอร์ชาวเวอร์

            3.วัสดุและการออกแบบโครงสร้าง

            วัสดุควรทนต่อความชื้นและสารเคมี เช่น สแตนเลส 304 สำหรับอุตสาหกรรมอาหารและยา ซึ่งไม่เป็นสนิม และออกแบบให้ไม่มีซอกหลืบสะสมเชื้อจุลินทรีย์ และมีพื้นที่เหมาะสมกับรองเท้าที่ใช้ เช่น พื้นเรียบและแผ่นดักฝุ่น เหมาะกับงานที่มักมีฝุ่นละเอียดติดรองเท้า เป็นพื้นที่แห้ง การใช้พื้นเรียบทำให้ทำความสะอาดง่าย ไม่สะสมฝุ่น ส่วนการเพิ่มแผ่นดักฝุ่นที่พื้นหรือด้านข้าง เป็นการลดโอกาส ปนเปื้อนซ้ำจากฝุ่นที่ตกออกจากตัวพนักงานแล้ว หรือพื้นตะแกรง เหมาะกับโซนที่อาจมีการเปียก เพราะจะปลอดภัยต่อการลื่น หรือ พื้นแบบซ่อนถาดรองฝุ่นมี่ต้องการดักสิ่งปนเปื้อนให้ตกไปใต้ตะแกรง เป็นต้น

            4.แรงลมและทิศทางการเป่า

            ควรมีแรงลมตามมาตรฐานอุตสาหกรรม และหัวเป่าลมจัดวางในทิศทางที่ครอบคลุมลำตัวพนักงาน โดยควรตรวจสอบว่าเมื่อใช้งานจริง แรงลมยังอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนด

            5.ระบบกรองฝุ่น

            ควรมีทั้งแผ่นกรองหยาบ (Pre-filter) และ HEPA Filter ที่มีประสิทธิภาพสูง พร้อมสามารถเปลี่ยนไส้กรองได้ง่าย มีอะไหล่รองรับตามรอบการบำรุงรักษา แนะนำให้ทำความสะอาดแผ่นกรองหยาบเป็นระยะ และเปลี่ยน HEPA filter ตามเวลาที่กำหนด เพื่อคงประสิทธิภาพในการกำจัดฝุ่น

            6.ระบบประตูและการควบคุม

            ประตูควรเปิดได้ตามทิศทางหน้างาน ใช้พื้นที่น้อย มีระบบ interlock เพื่อไม่ให้เปิดพร้อมกันทั้งสองด้าน รวมถึงมีการควบคุมเวลาการเป่าลมให้เป็นไปตามมาตรฐาน และมีระบบ Emergency Stop กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน เพื่อให้สามารถเปิดเพื่ออพยบพนักงานออกจากพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว

            7.รองรับการคัสตอมตามความต้องการพิเศษหรือไม่

            ในบางกรณี ลูกค้าอาจมีความต้องการพิเศษ เช่น การเพิ่มหัวเป่าลมจากด้านบน การเข้าทางเดียวแต่แยกทางออกหลายทาง การติดตั้งระบบยูวี (UV) เพื่อฆ่าเชื้อบนพื้นผิว การปรับแต่งเพื่อหลบท่อ คิ้วบัว หรือโครงสร้างเดิม เป็นต้น ซึ่งควรปรึกษากับผู้ผลิตก่อน ว่าสามารถทำได้หรือไม่อย่างไร

            8.การบำรุงรักษาและอะไหล่

            ตรวจสอบว่าผู้ผลิตมีทีมบริการในประเทศหรือไม่ มีสต็อกอะไหล่พร้อมเปลี่ยนหรือซ่อมในกรณีฉุกเฉินหรือระยะยาวหรือไม่

            9.การรับประกันสินค้า

            ควรสอบถามรายละเอียดการรับประกัน เช่น ระยะเวลา ความครอบคลุม และบริการหลังการขายที่ชัดเจน

            การเลือกแอร์ชาวเวอร์ที่เหมาะสม เริ่มจากการตั้งคำถามให้ถูกต้อง เพื่อให้ได้อุปกรณ์ที่รองรับการใช้งานจริงในระยะยาว ช่วยลดปัญหา ลดความเสี่ยงจากการปนเปื้อน และยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมมาตรฐานโรงงานได้จริง

            หากคุณกำลังวางแผนติดตั้งแอร์ชาวเวอร์ ติดต่อเรา เรายินดีให้คำปรึกษา ออกแบบ และสำรวจหน้างานฟรี หรือแนบแบบแปลนพื้นที่ เพื่อรับคำแนะนำที่ตรงกับโรงงานของคุณ

Related Post